ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
ชื่อสามัญ : Indian trumpet flower, Midnight horror
ชื่ออื่น ๆ : กาโด้โด้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ด๊อกก๊ะ, ดอก๊ะ, ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); เบโก (มาเลย์-นราธิวาส); เพกา (ภาคกลาง); มะลิดไม้, มะลิ้นไม้, ลิดไม้ (ภาคเหนือ); ลิ้นฟ้า (เลย); หมากลิ้นก้าง, หมากลิ้นซ้าง (เงี้ยว-ภาคเหนือ)
วงศ์ : BIGNONIACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Kurz
ชื่อพ้องวิทย์ : Bignonia indica L.
ลักษณะสำคัญ : ไม้โตเร็ว ยอดยาวเหยียด และกระจัดกระจาย ทรงพุ่มโปร่ง เปลือกต้นสีน้ำตาลครีมอ่อนหรือเทาอ่อน มีรอยแตกละเอียด และแผลใบ ใบประกอบขนนก 2-4 ชั้น เรียงตรงข้าม ออกหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ยาว 60-170 ซม. รวมก้าน ใบย่อยรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 5-13 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเบี้ยว ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ยาวได้ถึง 1.5 ม. ดอกเรียงแน่นที่ปลายช่อ ก้านดอกยาว 2-7 ซม. กลีบเลี้ยงรูประฆัง ยาว 2-4 ซม. ขอบเกือบเรียบ ติดทน ดอกรูปแตร หนา สีม่วงอมน้ำตาลแดง ด้านในสีครีม โคนมีปื้นสีน้ำตาลแดง หลอดกลีบดอกช่วงโคนยาวประมาณ 1.5 ซม. ช่วงกว้างยาว 6-9 ซม. กลีบบน 2 กลีบ กลีบล่าง 3 กลีบ พับงอกลับ เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดประมาณกึ่งกลางหลอดกลีบดอก จุดติดมีขน อับเรณูยาวประมาณ 1 ซม. โคนกางออก จานฐานดอกจัก 5 พู ก้านเกสรเพศเมียยาวกว่าเกสรเพศผู้ ยอดเกสรจัก 2 พูตื้น ๆ ยาวประมาณ 7 มม. ดอกบานออกตอนกลางคืน มีกลิ่นค่อนข้างสาบฉุน มักจะพบดอกร่วงบนพื้นดินตอนเช้า กลีบมักมีรอยขีดข่วนเกิดจากค้างคาวที่มากินน้ำหวานจากดอกในตอนกลางคืน ผล 40-120 ซม. แห้งแตกตามรอยประสาน รูปแถบ แบนยาว เปลือกหนา เมล็ด 6-7 ซม.กลม มีปีกบาง
ระบบนิเวศและการกระจาย : พบที่อินเดีย เนปาล ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ในไทยพบทุกภาค ขึ้นในที่โล่งแจ้ง ป่าขั้นที่สอง ชายป่า ความสูงถึงประมาณ 1200 เมตร หรือพบปลูกตามบ้านเรือน
การเพาะปลูก : ปลูกเป็นไม้ประดับ ทนสภาพอากาศได้กว้างตั้งแต่เขตร้อนชื้นถึงกึ่งร้อน ชอบดินอุดมสมบูรณ์ ดินมีความชื้น แดดจัด หรือร่มเงา เติบโตเร็วสูงถึง 5-10 เมตร และจะโตช้าลงเมื่อออกดอก ดอกบานกลางคืน มีกลิ่นเหม็นแรงที่ค้างคาวสนใจช่วยผสมเกสร
การขยายพันธุ์ : เมล็ด ควรแช่ในน้ำอุ่นก่อน 24 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด ในที่ร่มรำไรในเรือนเพาะชำ อัตรางอก 50 % งอกภายใน 19-25 วัน หรือแยกหน่อ
ส่วนของพืชที่ใช้ประโยชน์ : ยอดอ่อน ดอก ฝักอ่อน
แหล่งเก็บหา : ทุกพื้นที่
เมนูอาหารผักยืนต้น
เพกากินได้ทั้งยอด ดอกและฝักอ่อน ส่วนที่นิยมกินกันมากคือฝักเพกาอ่อน กินดิบมากินกับน้ำพริก แจ่วบอง ลาบ ก้อย หรือจะเผาไฟแล้วขูดเปลือกออกจะช่วยลดรสขมของฝักเพกา หรือจะหั่นซอยตามขวางแล้วนำมายำ แกงหรือผัด ทำเป็นแหนมเพกาก็มี
ข้อมูลทางโภชนาการ
คุณค่าโภชนาการฝักอ่อนของเพกาน้ำหนัก 100 กรัม
จะมีวิตามินซีถึง 484 มิลลิกรัม
วิตามินเอสูงถึง 8,300 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
โปรตีน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
สรรพคุณทางยา
ฝักอ่อน : รสขมร้อน ขับผายลม
ฝักแก่ : รสขม แก้ร้อนในกระหายน้ำ
เมล็ดแก่ : รสขม ระบายท้อง แก้ไอ ขับเสมหะ
เปลือกต้น : รสฝาดขมเย็น สมานแผล ดับพิษกาฬ แก้ร้อนใน แก้ท้องร่วง ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ ดับพิษโลหิต
ตำผสมสุราพ่นตามตัวสตรีที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ให้ผิวหนังชา
ตำผสมกับน้ำส้มมดแดงกับเกลือสินเธาว์ กินขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้อาเจียนไม่หยุด
ต้มดื่มแก้เสมหะจุกคอ ขับเสมหะ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต แก้บิด แก้จุกเสียด
ฝนกับสุรา กวาดปากแก้พิษซางเม็ดสีเหลือง แก้ละออง แก้ซางเด็ก ทาแก้ปวดฝี แก้ฟกบวม
ราก : รสฝาดขม บำรุงธาตุ ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร แก้ไข้สันนิบาตร แก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้อักเสบฟกบวม
ทั้งห้า : รสฝาดขมเย็น สมานแผล แก้อักเสบฟกบวม แก้ท้องร่วง แก้ไข้เพื่อลมและโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย
การใช้ประโยชน์อื่นๆ
- เป็นไม้เบิกนำ โตเร็ว ในการฟื้นฟูป่า
- เมล็ดใช้เป็นซับในของหมวกหรือร่ม ปีกบางของเมล็ดถูกร้อยเป็นพวงมาลัยบูชาเทพ
- ฝักและเปลือกใช้ในการฟอกย้อมสี
- ไม้เนื้ออ่อนใช้ทำไม้ขีดไฟ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง