ผักยืนต้น มรดกทรัพยากรชีวภาพ

ผักยืนต้นคืออะไร

คนทั่วไปคุ้นเคยกับผักกันดีอยู่แล้ว ผักมีประโยชน์ให้วิตามิน แร่ธาตุหลายชนิดกับร่างกาย ส่วนใหญ่เรามักจะทานใบ ผล เช่นมะเขือเทศ แตงกวา ปลูกง่าย มีอายุสั้น 5 ถึง 180 วันก็กินได้แล้ว Eric (2007) ได้กล่าวถึงผัก (vegetables) ว่าเป็นพืชพันธุ์ที่เติบโตเพื่อให้มนุษย์รับประทานส่วนต่าง ๆ ของมัน เช่น ยอดอ่อน ใบ ลำต้น หน่อ ราก หัว ดอกตูม ดอกบาน ฝัก และเมล็ด รวมถึงผลไม้บางชนิดที่สามารถทานเป็นผักได้ 

แล้วอย่างไรถึงจะเรียกผักยืนต้น

ผักยืนต้นหน้าตาเหมือนผักทั่วไปมั้ย หลายคนอาจสงสัย และตั้งคำถามกันมากมาย การจำแนกผัก (classification of vegetables) จึงมีความจำเป็น การจำแนกขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้จำแนกว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการจำแนก ซึ่งมีได้หลายวิธี

โดยทั่วไปนิยมจำแนกอยู่ 3 วิธี คือ

  1. จำแนกโดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางพฤกษศาสตร์ (botanical classification)
  2. จำแนกโดยถือเอาส่วนของพืชที่ใช้บริโภคเป็นเกณฑ์ (classification based on parts used as food) แบ่งเป็นลำต้น​ ใบ​ ก้าน​ หัว​ ดอก​ ผล
  3. จำแนกโดยถือเอาเกณฑ์การปลูก (classification based on cultural requirement)

ยังมีการจำแนกผักอีกวิธีที่ไม่นิยมกล่าวถึงกันมากนัก คือ จำแนกผักโดยอาศัยลักษณะการเจริญเติบโต หรืออายุของพืช (classification based on growth characteristics or growth habits) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ พัฒนาการด้านความสูง รูปร่าง รูปทรง และสิ่งที่ปรากฎเด่นชัดของพืช การเปลี่ยนแปลงวิสัยพืชอาศัยปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ฤดูกาลซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของพืช  

หากแบ่งตามอายุของพืช สามารถแบ่งได้เป็น 3 พวก ย่อย ๆ คือ

  • พืชผักฤดูเดียว (annual) คือพืชที่มีอายุสั้นๆ จบชีพจักรภายในปีเดียว หรือฤดูปลูกเดียว ส่วนมากเป็นพวกพืชล้มลุก (herbaceous plants) เช่น มะเขือเทศ แตงกวา
  • พืชสองฤดู (biennial) คือพืชที่มีอายุภายใน 2 ปี หรือ 2 ฤดูปลูก ซึ่งเป็นลักษณะของพืชเมืองหนาว ที่ต้องใช้ความเย็นทำลายการพักตัว (break dormancy) เช่น หอมฝรั่ง กะหล่ำต่าง ๆ พืชเหล่านี้ ในฤดูปลูกแรก มีการเจริญเติบโตทางส่วนต้น (vegetative growth) เมื่อการพักตัวถูกทำลายแล้ว ในฤดูปลูกหลังจะมีการเจริญทางการสืบพันธุ์ (reproductive growth)
  • พืชยืนต้น (perennial) คือพืชที่มีอายุภายใน 3 ปี หรือ 3 ฤดูปลูก หรือมากกว่า แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
    • พืชยืนต้นสลับล้มลุก (herbaceous perennial) ส่วนต้น (shoot) มีลักษณะเป็นพืชฤดูเดียว ส่วนราก (root, crown) มีลักษณะเป็นพืชยืนต้น ปรากฏในผักน้อยชนิดมาก เช่น หน่อไม้ฝรั่ง (asparagus) ที่ปลูกในเมืองหนาว ส่วนต้นจะตายในฤดูหนาว แต่ตอยังอยู่ (ระยะพักตัว) จะงอกและเจริญเติบโตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ หน่อไม้ฝรั่งที่ปลูกในเมืองไทย ซึ่งเป็นเมืองร้อนไม่มีการพักตัว สาเหตุเกิดจากพืชมีการปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม (adaptation)
    • พืชยืนต้นที่มีเนื้อไม้ (woody perennial) ลำต้นที่มีเนื้อไม้ (wood) ส่วนใหญ่พืชพวกนี้ที่ใช้เป็นผักจะเป็นพืชเมืองร้อน (tropical crops) พืชยืนต้นประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
      • พวกที่มีลำต้นหลัก หรือลำต้นประธาน (trunk, main central axis) เรียกว่า tree ที่นำบางส่วน (parts) ของมันมาใช้เป็นผัก เช่น มะม่วง ชมพู่ ใช้ใบอ่อน ดอกอ่อน ผลอ่อน มะนาว ใช้ผล มะกรูดใช้ใบและผล แคใช้ดอก สะตอใช้เมล็ดจากฝัก 
      • พวกที่ไม่มีลำต้นประธาน แต่มีลำต้นที่มีขนาดไล่เลี่ยกันแตกออกมาจากตอ (crown) หลายลำ เรียกว่า shrub มีพืชบางชนิดนำส่วนของมันมาใช้เป็นผัก เช่น ไผ่ (ใช้หน่ออ่อน หรือหน่อไม้) เตย ชะอม นิยมใช้ใบอ่อน

แกนนำชุมชนเครือข่ายทางภาคอีสานมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ผักยืนต้นมีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปโดยมีช่วงอายุยืนยาวหลายชั่วคนตั้งแต่ 100 ปีถึง 1,000 ปี ลักษณะของลำต้นเป็นเนื้อไม้ สามารถรับประทานได้ทั้งใบ ดอก ผล ผักยืนต้นจะมีผลผลิตออกตามฤดูกาลเท่านั้น บางชนิดไม่มีการออกดอก ผลทั้งปี ลำต้นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุของผักยืนต้น Vickie (2011) กล่าวว่า ผักยืนต้นนั้นมีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป และรวมถึงพืชล้มลุกบางชนิดที่ตาย หรือลดรูปลง หากเมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสมก็พร้อมที่จะงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้

ฉะนั้นเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร​จึงนิยามผักยืนต้น ว่าเป็นพืชอายุข้ามปี ที่มีอายุอย่างน้อย 3 ปี หรือมากกว่านั้น มีเนื้อไม้ (woody perennial) และมีวิสัยพืชเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มหรือไม้เลื้อย ที่มีความสูงไม่น้อยกว่า 1 เมตร ที่นำส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ยอด ใบ ดอก ผล ราก เปลือก ฝัก เมล็ด ไหล หน่อ หัว มาประกอบเป็นอาหารได้ มีทั้งชนิดในธรรมชาติ ชนิดที่นำมาปลูก รวมถึงชนิดที่นำเข้าจากต่างประเทศมาปลูกในประเทศไทยนานมากแล้ว

ผักยืนต้น​ น่าจะเป็นหนทางรอดของมนุษย์ในการต่อสู้กับความอดอยากหิวโหยทางอาหาร เป็นหนทางสร้างวิถีความมั่นคงทางอาหารระยะยะยาว ให้กับครอบครัว ชุมชน สังคม ปรับปรุงระบบการเกษตรจากเชิงเดี่ยวมุ่งการค้ามาเป็นเกษตรเชิงนิเวศ มุ่งอยู่รอด

ผักยืนต้นอยู่ในระบบนิเวศที่หลากหลาย​ให้ได้เก็บหาทั้งจากป่า สวน บ้านหรือแม้แต่ริมทางข้างถนน

เริ่มจากใกล้ตัวทุกคนมากที่สุดอย่างริมทาง คือพื้นที่ที่ต้นไม้ขึ้นอย่างอิสระ ทั้งริมทางถนน เกาะกลางถนน ริมทางเดินเท้าเข้าสวน ริมคันนา​ ข้างริมรั้วนอกบ้าน ซึ่งมีทั้งปลูกและขึ้นเองตามธรรมชาติ กระจายพันธุ์ได้ง่าย มีพืชอาหารในหลายรูปแบบ ไม้ยืนต้น เช่น มะม่วง กระถิน สะเดา มะม่วงหิมพานต์ กระโดน ขี้เหล็กบ้าน แคนา มะรุม มะยม มะขาม ไม้พุ่ม เช่น ผักหวานบ้าน หมุยบ้าน ไม้เลื้อยไม้เถา เช่น ตำลึง ชะอม อัญชัน ไม้ล้มลุก เช่น กระสัง ผักคราดหัวแหวน ปีนนกไส้​ ​(ดาวกระจายไต้หวัน)​ พืชริมทางจะมีความทนทานต่อมลพิษสูง ถึงสูงมาก​ แต่ทนยาฆ่าหญ้าไม่ได้นะ

หรืออย่างในสวน เช่น สวนสมรม สวนยกร่อง สวนผลไม้ สวนยาง สวนปาล์ม ซึ่งมีผักยืนต้นและผลไม้พื้นเมืองขึ้นผสมปนเปกับไม้ผลที่ตั้งใจปลูกเป็นพืชประธานหลักของสวน เป็นพืชเศรษฐกิจ ขายสร้างมูลค่า แต่ผักยืนต้นและผลไม้พื้นเมืองมีจำนวนต้นน้อยเพียง 4-5 ต้น เท่านั้น เจ้าของไม่ได้บำรุงดูแลมากนัก ให้ผลตามฤดูกาล ซึ่งพอเก็บกินในครัวเรือน เช่น แซะ จวง มะดัน ลูกฉิ่ง ทองหลางน้ำ เหรียง สะตอ มุดม่วง มะสัง เนียง ไม้พุ่มเช่น เหมียง หมากหมก หากสวนใดติดชายป่า ก็อาจจะมี ต้นหยี หยีเขา ตาเป็ดตาไก่ ราม พิลังกาสา มะม่วงป่า เนียงนก ขึ้นภายในสวนได้

สวนหลังบ้าน หรือ home garden เป็นพื้นที่ที่เจ้าของบ้านปลูกต้นไม้ที่ใช้เป็นประจำอยู่ใกล้บ้าน เพื่อสะดวกเก็บกินได้ทุกวัน บางครั้งขึ้นเองหรือเพียงหว่านเมล็ดก็ขึ้นได้ง่าย มีทั้งไม้ยืนต้น เช่น เสม็ดแดง ติ้ว เพกา ยอบ้าน ชะมวง ชมพู่มะเหมี่ยว มะรุม ตะลิงปลิง มะงั่ว ไม้พุ่มส่วนใหญ่เป็นผักสวนครัว และเป็นผักยืนต้นอีกด้วย เช่น พริก กะเพรา โหระพา แมงลัก ยี่หร่า มะนาว ส้มจี๊ด ส้มซ่า  มะเขือพวง ฯลฯ ไม้เลื้อย/ไม้เถา เช่น พริกไทย พลู ชะพลู ดีปลี ไม้ล้มลุก เช่น ตะไคร้ ผักชีฝรั่ง ใบบัวบก ฯลฯ รวมถึงไม้ดอกไม้ประดับอีกหลายชนิดที่ปลูกร่วมในสวนหลังบ้าน เพื่อความเพลิดเพลินและเป็นสถานที่พักผ่อนของคนในครอบครัว

นิเวศ​ใดอีกบ้างที่มีผักยืนต้น

ขยับออกจากริมทาง​ สวน​ มาป่าหัวไร่ปลายนา​ นิเวศนี้เป็นที่คุ้นเคยทางภาคเหนือและอีสานอย่างดี ที่ลักษณะการทำนาเป็นแปลงเล็กๆ​ อยู่ตามที่ลาด​เชิงเขา​ พื้นที่โดยรอบขอบแปลงนา อยู่บนคันนาขนาดใหญ่หน่อย โคก หรือเนิน ซึ่งมีต้นไม้ดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว หรือนำมาปลูกใหม่ เพื่อให้ร่มเงาแก่ชาวนา​และช่วยป้องกันการพังทลายของดินด้วย ขณะที่ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม จึงมักทำนาเป็นแปลงใหญ่ ทำคันนาเล็กแค่เพียงทางเดินเท่านั้น  ป่าหัวไร่ปลายนามีผักยืนต้นที่หาได้ง่าย เช่น ตาลโตนด เต่าร้าง ขี้เหล็กเลือด เลียบ เป็นต้น

ทีนี้มาพื้นที่ริมน้ำ​ ที่คนกรุงเทพอาจคุ้นเคยและได้มายืนบนสันเขื่อนริมน้ำเจ้าพระยา​ แล้วไม่เห็นต้นไม้อะไรเลย นอกจากกำแพงปูน ที่สร้างขึ้นช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี54​ โดยธรรมชาติพื้นที่ริมน้ำมีต้นไม้หลากหลายชนิดเป็นพืชริมน้ำที่สำคัญมาก​ เป็นแหล่งอนุบาลลูกปลา​ และช่วยป้องกันการพังทลาย​ ยึดตลิ่งไว้​ พื้นที่ริมน้ำ ชายคลอง เล รวมถึงพื้นที่ชายเลน ปากแม่น้ำ พื้นที่ลักษณะนี้น้ำจะท่วมถึงหรือบางครั้งน้ำขังเป็นเวลานานหลายเดือน ต้นไม้จึงมีลักษณะทนน้ำได้ บางชนิดทนเค็ม  ผักยืนต้น เช่น จิกสวน​ จิกนา จาก กุ่มน้ำ ลำพู ลำแพน เต่าร้าง สาคูต้น ไม้เลื้อย เช่น ลำเพ็ง ส้มเกรียบ และมีพืชไม้น้ำอีก เช่น กง กระจับ กระจูด ขี้ไต้ ผักกูด เป็นต้น

เมื่อล่องลำน้ำมาถึงทะเล​ พื้นที่ริมทะเล​ ป่าพรุ ป่าสันทราย​ ป่าชายหาด​ ป่าชายเลน เป็นพื้นที่ป่าสาธารณะที่เป็นที่ลุ่ม ลาดลงชายฝั่งทะเล น้ำใต้ดินค่อนข้างเค็ม ฉะนั้นพืชผักยืนต้นที่ขึ้นบริเวณนี้สามารถทนความเค็มได้ดี มีผักยืนต้นขึ้นอยู่หลายชนิด เช่น จิกน้ำ จิกทะเล​ มะเม่าไข่ปลา มะพร้าว กุ่มบก เสม็ดชุน ไม้พุ่ม เช่น ขลู่ ไม้เลื้อยเช่น ผักบุ้งทะเล เป็นต้น ปัจจุบันพื้นที่พรุ ป่าสันทราย ป่าชายหาด​ ริมทะเลในลักษณะนี้ลดน้อยลงอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมักได้รับการพัฒนาที่ดิน หรือส่งเสริมการท่องเที่ยว​ จนทำให้เหลือเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงสภาพความสมบูรณ์​อยู่​

ทั้งนี้ผักยืนต้นและพืชผักพื้นบ้านอื่นๆไม่ได้ขึ้นในระบบนิเวศใดระบบนิเวศหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะพบขึ้นได้ในระบบนิเวศต่างๆร่วมกัน หากบ้านตั้งอยู่ริมน้ำและทำสวนสมรมใกล้บ้านก็จะมีผักยืนต้นทั้งในระบบนิเวศริมน้ำ คลอง เล สวนหลังบ้านและสวน เป็นต้น​ การเก็บผักยืนต้นนับเป็น​การสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติและผู้คนให้แนบชิดและเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น​

คุณค่าทางโภชณาการในผักยืนต้น

บรรพบุรุษของเรามีการใช้ประโยชน์จากพืชที่อยู่ในท้องถิ่น พืชพื้นบ้าน ผักยืนต้น ซึ่งมีหมุนเวียนไปตามฤดูกาล ในการทำอาหาร และทำเป็นยารักษาโรคมานาน เป็นความรู้ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน  

เป็นที่รู้กันว่า โรคยอดฮิตของคนไทยติดอันดับหนึ่งสาเหตุการตาย เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคไขมันในเลือด เหล่านี้เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จนมาถึงภัยพิบัติโควิด 19 

เราเริ่มให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่เสริมสร้างความแข็งแรง ป้องกันโรค  ได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “กินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร”

จะกินอาหารป้องกันโรค กินรักษาโรค หรือกินไม่สะสมโรค ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นในการ กินให้ถูก  กินให้ไม่เย็นเกิน ร้อนเกิน กินเข้าตำรับ กินให้เกิดความสมดุลของร่างกาย กินให้ร่างกายแข็งแรงสู้ได้ทุกโรค

การกินผักให้เกิดประโยชน์นั้น มีข้อมูลศึกษาไว้มากมายพอจะสรุปได้​คือ​ กินตามฤดูกาล เพราะผักที่เจริญได้ดีในแต่ละฤดูกาลก็เพราะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าผักผลไม้ชนิดใดเราแทบจะหากินได้ตลอดปี เพราะเทคโนโลยีการเกษตรที่ล้ำสมัย แต่นั่นแหละ ยิ่งดัดแปลงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น ต้องใช้สารเคมีเร่ง ต้องใช้น้ำมากกว่าปกติในฤดูแล้ง ใช้พลังงานในการจัดการมากขึ้นและที่สำคัญราคาแพง

เมื่อเรากินผักที่ตรงกับฤดูกาลธรรมชาติ​ จะช่วยสร้างสมดุลร่างกายเราในแต่ละฤดูกาล

กรมอุตุนิยมวิทยาเพิ่งประกาศว่าไทยเข้าสู่ฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) ช่วงเปลี่ยนฤดูจากฝนเป็นหนาว​ อาจมีฝนตกทำให้อากาศเย็น ส่งผลกระทบกับธาตุลม อาจทำให้ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เป็นหวัด ท้องอืดเฟ้อ​ ควรกินอาหารเผ็ดร้อนและรสสุขุม​ เช่น แกงเลียง แกงส้ม

ผักยืนต้นที่กินได้ในฤดูฝน เช่น มะรุม ( Moringa oleifera Lam.) ยอดอ่อนและดอกนำมาลวกจิ้มกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แจ่ว ผลอ่อนและผลแก่นำมาแกงส้มได้ ผลอ่อนกินเป็นผักกับส้มตำหรือลาบดอกใช้แก้อาการไข้หัวลมหรืออาการไข้เปลี่ยนฤดู เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง แก้หวัด ใบมะรุมมีวิตามินเอสูง มีแคลเซียมสูงเกือบเท่านม มีธาตุเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามินซีมากพอๆ กับส้มและมีโพแทสเซียมเกือบเท่ากล้วย

พออากาศเย็นมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน มักมีผลต่อธาตุน้ำ อาจทำให้มึนหัว น้ำมูกไหล ผิวแห้ง ท้องอืด เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก​ ช่วงนี้ควรกินอาหารหรือผักที่มีรสขม เผ็ดร้อนและเปรี้ยว

ผักที่มีรสขม เช่น เพกา (Oroxylum indicum (L.) Kurz) ยอดอ่อน ดอกและฝักนำมากินเป็นอาหารได้ ดอกนิยมนำมาลวกกินกับน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ ฝักมีรสขม ต้องนำมาเผาไฟให้สุกหรือผิวนอกเกรียม ขูดเอาส่วนที่ไหม้ออกจะช่วยลดความขมได้ นิยมนำมากินเป็นผักเคียงหรือนำมาผัดกับไข่ก็ได้ มีการศึกษาพบว่าฝักเพกาช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

แต่ด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ​ โลกร้อนจนตอนนี้เรียกว่าโลกเดือด​ มลพิษเพิ่มขึ้น​ โลกกำลังป่วยไข้​ สุขภาพร่างกายเราๆท่านๆก็ย่อมป่วยไข้ตาม​ หากไม่รักษาสมดุลระบบนิเวศ​ สมดุลสุขภาพให้ดี

ผักยืนต้น อายุหลายปีจึงเป็น​ทางรอดความมั่นคงทางอาหารระยะยาว โอกาสปนเปื้อนสารเคมีน้อยกว่าผักที่มีอายุสั้นหรือผักผลไม้นำเข้า​

การปลูกผักยืนต้นและกินให้หลากหลาย​ กินตามฤดูกาล​ เลือกกินตามภูมินิเวศของต้นไม้และผู้ปลูก​ช่วยสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น​ ​ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลก​ ส่งต่ออนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเรา

กินผักยืนต้นชุมชนยั่งยืน​ ปลูกผักยืนต้นโลกเย็นขึ้น

ย้อนกลับไปในวัยเด็กที่โตมากับผู้เฒ่าผู้แก่ ภาพคุ้นชินตาคือทุกวันยายจะตำน้ำพริก และตั้งหม้อแกงเตรียมเอาไว้ จากนั้นแค่เดินไปหลังบ้าน เก็บผักตามฤดูกาลใส่ลงหม้อ ตามด้วยเครื่องแกงเพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่ พริก หอม กระเทียม ถั่วเน่า และกะปิ ก็กลายเป็นเป็นแกงแครสชาติกลมกล่อมจากผักสดหลังบ้านสำหรับมือเย็นแล้ว

หลายท่านน่าจะคุ้นเคยกับภาพเหล่านี้ในวัยเด็ก ไม่ว่าจะอยู่ภาคเหนือ กลาง ใต้ อีสาน เป็นภาพที่เรารับรู้และซึมซับมาโดยมิรู้ตัว ในภูมิปัญญาด้านอาหาร แต่พอโตมาที่อาจจะอยู่ห่างจากบ้าน มาทำงานในเมือง มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ความรู้เดิมการหาอยู่หากิน ค่อยๆจางคลาย การกินที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต แต่จะกินอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรง มีกำลังจะสู้ต่อ กินอย่างไรให้ไม่เป็นโรคและยังป้องกันโรคได้อีกด้วย

อ.อุษา กลิ่นหอม นายกสมาคมเครือข่ายแพทย์พื้นบ้านและสุขภาพวิถีไทย กล่าวคำโบราณที่ว่า “ให้กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินปลาเป็นอาหาร” แสดงถึงคนโบราณกินอาหารเหล่านี้มีสรรพคุณทางยาอยู่มาก ทั้งช่วยป้องกันและรักษา หรือที่คนปัจจุบันเรียกโภชนปัญญา (food literacy) คือกินดี กินแบบมีความรู้ กินรู้ที่มา กินฤดูกาลไหนเหมาะ ทำอะไรกิน กินดูแลรักษานิเวศและสุขภาพ กินจนมีเอกลักษณ์กลายเป็นวัฒนธรรมอาหาร สร้างเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น

ประเทศไทยยังมีผักยืนต้น ผลไม้พื้นบ้าน อีกหลากหลายชนิดที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคนอกจากผักตามท้องตลาดที่เราเห็นกันอยู่ตลอดปี เคล็ดลับการกินผักให้เป็นยาเบื้องต้น ขอให้เลือกจากรสชาติเป็นหลัก (รสยา)

ผักรสฝาด จะมีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟื้อ แก้ท้องเสีย และช่วยสมานแผลได้ เช่น ยอดกระโดน กล้วยดิบ มะเดื่ออุทุมพร ผักเม็ก และยอดมะม่วงหิมพานต์

ผักรสเปรี้ยวจะช่วยกัดเสมหะ กระตุ้นต่อมน้ำลาย ช่วยเจริญอาหาร และต้านอนุมูลอิสระ (หากกินมาเกินไปทำให้ท้องอืด ร้อนใน และแผลหายช้า) เช่น ยอดมะกอก ผักติ้ว กระเจี๊ยบแดง ยอดมะขาม ส้มป่อย ชะมวง เถาส้มกุ้ง ผลของเถาคัน ตะลิงปลิง มะดัน หมักแปม และมะขามฝักอ่อน

ผักรสหวาน นอกจากรสชาติอร่อย ถูกปากทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่แล้ว ยังมีสรรพคุณบำรุงกำลัง แต่ให้พึงระวัง หากกินมากไปอาจท้องอืด และง่วงนานได้ เช่น ดอกขจร ดอกข้าวสาร ผักเหมียง ยอดมะพร้าว ยอดเต่าร้าง ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน

ผักรสขม จะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงตับ ลดไข้ ถอนพิษเบื่อเบา แต่หากกินมากจะอ่อนเพลีย เช่น ผักสาบ ผักขวง มะระขี้นก หน่อหวาย ดอกขี้เหล็ก ผักแปม และฟักข้าว

ผักรสหอมเย็น มักนำมาเข้าตำรับยากลุ่มบำรุงหัวใจ แก้ลม หน้ามืดวิงเวียน เช่น ผักแขบง ดอกโสน บัว เตยหอม ดอกขจร และผักบุ้งไทย

ผักรสมัน มีสรรพคุณบำรุงกระดูกและเส้นเอ็น แก้เคล็ดขัดยอก เช่น เช่น สะตอ เนียง กระพังโหม ผักเหลียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง หัวปลี ไข่น้ำ ผักขี้นาก โหบเหบ

สุดท้ายคือผักรสเผ็ดร้อน  ช่วยแก้ท้องอืด จุกเสียดแน่นเฟ้อ บำรุงธาตุ มักเป็นผักที่อยู่ในเมนูอาหารไทยหลายชนิด เช่น กระเทียม ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิงข่า ขมิ้น กระชาย และมะแขว่น

อาหารหายาก คุณค่าที่คุณคู่ควร

มีอาหารพื้นบ้านหลายชนิด ที่เราเคยหากินง่าย เจอได้ตามรอบบ้าน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นของหากินยากไปเสียแล้ว แต่ก็คุ้มค่าที่จะหามาลิ้มลอง

อย่างเช่น แกงมะตาดหรือ แกงแอปเปิลมอญ เป็นสำรับแบบชาวมอญ สรรพคุณหลากหลาย ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เป็นยาระบาย แก้ไอ แก้ปวดท้อง ขับเสมหะ เคลือบแผลในกระเพาะอาหาร

แกงส้มดอกแค เมื่อฤดูกาลเริ่มเปลี่ยน แกงส้มดอกแคเป็นเมนูแรกๆที่ควรนึกถึง เพราะนอกจากจะแก้ไขหัวลมได้แล้ว งานวิจัยยังพบว่า สามารถชะลอความแก่ และต้านเซลล์มะเร็งได้

ขนมจีนน้ำเงี้ยวหรือแกงแคเป็นอาหารวัฒนธรรมของชาวล้านนา ดอกแคแห้งมีแคลเซียมสูง สามารถใช้เป็นยาถอนพิษไข้ แก้บิดเลือด และระงับปวด มีสามารถเก็บกินได้ตลอดปี 

จักรวาลความรู้อาหารการกิน นั้นกว้างใหญ่นัก อาหารก็มีเป็นจู้ (ชู้) กันได้นะ อาหารชนิดเดียวกันอาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน กินอาหารตามงานวิจัย ดีจริงหรือ? ฉะนั้นทางเลือกของทุกท่านมีมากมายตามที่ท่านเลือกสรรหา ท่านอาจจะสะดวกเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ หรือทำอาหารทานเองที่บ้าน ท่านเลือกได้ แต่ทางเลือกหนึ่งที่ดีคือนำภูมิปัญญาโบราณด้านอาหารการกินมาปรับใช้ ถึงจะไม่ได้ผ่านการทดลองในห้องปฏิบัติการ แต่ก็ผ่านกระบวนการประสบการณ์ ทดลองมาอย่างยาวนานกับมนุษย์มาหลายชั่วอายุคน อาหารที่ปู่ย่าตายายเคยกินเคยใช้มาก่อนหากนำมาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็มักได้ผลตรงตามคำบอกเล่ามากมาย

ที่มาของข้อมูล

– สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 5 เรื่องที่ 1 ผัก การจำแนกผัก ค้นหาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 สืบค้นจาก http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=5&chap=1&page=t5-1-infodetail02.htm 
– Vickie Bartman. 2011. Herbaceous perennials, grasses, annuals & bulbs. 194. pdf
-Eric Toensmeier. 2007. Perennial vegetables : from artichoke to zuiki taro, a gardener’s guide to over 100 delicious,easy-to-grow edibles.
– Chelsea Green Publishing Company, VM, the United States. 384 p.
– เครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา นครสวรรค์ เชียงใหม่ อำนาจเจริญ นครนายก และนนทบุรี. 2563.
– มูลนิธิสุขภาพไทย