โดย วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ
มูลนิธิชีววิถี

เมื่อเรากำลังอยู่ในโลกที่มุ่งผลิตอาหารเชิงเดี่ยว การเลี้ยงสัตว์ถูกทำในอุตสาหกรรมใหญ่เพื่อเร่งผลิตอาหาร เรารุกรานสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติมาอย่างยาวนาน การการใช้ยาปฏิชีวนะอาจเป็นแหล่งกำเนิดของไวรัสหลายสายพันธุ์ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแม้การระบาดของไวรัส covid-19 จะจบลงแล้ว แต่อาจมีไวรัสสายพันธุ์อื่นแพร่ระบาดอีกครั้งก็เป็นได้ เราเห็นชัดเจนว่าปัจจุบันมีโรคเรื้อรังหลายชนิดกำลังคุกคามมนุษย์อยู่ ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ล้วนแต่เกิดจากระบบอาหารที่ไม่สมดุล และผู้ป่วยกลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับต้นๆในวันที่เกิดการระบาดของโรค

พบว่าจากพืชราว 500 ชนิดที่มีการยืนยันว่าสามารถใช้รักษาโรคได้ และมีพืชถึง 30-40% ที่สามารถรับประทานเป็นอาหารได้ โดยพืชหลายชนิดมีถิ่นกำเนิดในเอเชีย การใช้อาหารเป็นยาอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ และยังลดความเสี่ยงถึงผลกระทบในการรักษาด้วย

พืชตระกูลส้ม

พืชตระกูลส้มมีความหลากหลายสูงมาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าพืชตระกูลส้มเกิดในโลกมาประมาณ 12 ล้านปีมาแล้ว โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณตอนล่างของจีน อินเดีย และตอนเหนือของไทย จากนั้นสายพันธุ์ส้มกระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไต้หวัน (China Medicine University, Taiwan) ยืนยันผลการทดลองในห้องปฏิบัติการว่า พบว่าสกัดเฮสเปอริดิน (Hesperidin) และเฮสเปอเรติน (Herperetin) จากส้มสามารถป้องกันและลดการติดเชื้อ covid-19 โดยสารสำคัญดังกล่าวพบได้ทั้งในน้ำส้ม เนื้อส้ม และเปลือกส้ม มีบทบาทตั้งแต่ระยะป้องจนจนกระทั่งระยะเยียวยา

แม้การหาพืชตระกูลส้มในบ้านเราไม่ยากลำยากนักเนื่องจากมีความหลากหลายสูงและแทบจะอยู่ในทุกมื้ออาหารของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น มะกรูด ส้มซ่า ในเครื่องแกง หรือเครื่องดื่ม (รับประทานผิว) หรือส้มแป้นขี้ม้า (รับประทานใบ) แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การผลิตส้มในประเทศไทยกลายเป็นอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวไปเสียหมด มีการใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากที่แทรกซึมตั้งแต่ผิวส้ม เนื้อส้ม จนกระทั่งในน้ำส้ม

โกฐจุฬาลัมพา 

โกฐจุฬาลัมพา อยู่ในตำรับยารักษาโรคของเอเชียมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในจีน และอินเดีย ภายหลัง WHO ให้รับรองว่า สาร Artemisia ในโกฐจุฬาลัมพา สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้ และมีประสิทธิภาพดีกว่า ยาควินิน (Quinine) ที่ใช้ในอดีต แม้ว่าในช่วงแรก WHO จะปฏิเสธการยอมรับพืชดังกล่าวในการรักษาโควิด แต่เมื่อมีงานวิจัยจากเดนมาร์ค เยอรมนี ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกายืนยันผลการทดลองว่าสามารถรักษาโควิดได้ ทาง WHO จึงกลับลำและประกาศว่าจะเริ่มต้นการทดสอบการใช้โกศจุฬาลัมพาเพื่อใช้ทางการแพทย์ต่อไป

ขิง ข่า ขมิ้น

ขิง ข่า และขมิ้น เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีสายพันธุ์มากกว่า 1500 สปีชีส์ และกว่า 20% (หรือราว 300ชนิด) สามารถพบได้ในประเทศไทย จากงานวิจัยเรื่อง High-content screening of Thai medicinal plants reveals Boesenbergia rotunda extract and its component Panduratin A as anti-SARS-CoV-2 agents (2020) ของมหาวิทยาลัยมหิดล ยืนยันว่าสาระสำคัญในขิงมีประสิทธิภาพในการยับยังโควิดได้จริง โดยใช้ในประมาณที่น้อยกว่าฟ้าทะลายโจรด้วยซ้ำ

อาหารเป็นยาได้จริงหรือ?

งานวิจัยเรื่อง Plant-based diets, pescatarian diets and COVID-19 severity: a population-based case–control study in six countries จากสหรัฐอเมริกา ถูกตีพิมพ์เมื่อ มิถุนายน 2021 ทำการศึกษาประชากรใน 6 ประเทศ ได้แก่ France, Germany, Italy, Spain, UK, USA พบว่า คนกินอาหารที่เน้นผัก ผลไม้ ถั่ว รับประทานเนื้อสัตว์น้อย และเน้นจำพวกปลา (plant-based diets) กับ คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ (pescatarian diets) เมื่อติดเชื้อโควิดแล้วมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่ากลุ่มประชากรปกติ

จากสถิติพบว่าเมื่อติดเชื้อโควิดแล้วชาวอินเดียมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าชาวอเมริกัน แม้สาเหตุจะมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเพราะไวรัสชนิดอื่นๆที่อินเดียประสบมาก่อนหน้านี้ ทำให้ชาวอินเดียมีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้น แต่ปัจจัยหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เนื่องจากชาวอินเดียเป็นมังสวิรัติ 20-40% และมีภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติที่อยู่ในวัฒนธรรมการกินอาหารมาอย่างยาวนาน ในขณะที่ชาวอเมริกันมีผู้เป็นมังสวิรัติน้อยกว่า และยังมีภาวะน้ำหนักเกินเป็นจำนวนมากสะท้อนความไม่สมดุลของระบบโภชนาการ

ด้วยเหตุนี้เอง ระบบอาหารภายในประเทศจึงสัมพันธ์กับระบบสุขภาพ หากเราใช้ทรัพยากรอันหลากหลายที่มีอยู่ในประเทศ และพัฒนาระบบอาหาร และความรู้เรื่องอาหารเป็นยา ผลักดันให้พืชสมุนไพรและอาหารเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชนอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ นี่คงเป็นคำถามสำคัญว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังกับการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ การมีระบบเกษตรยั่งยืน และการปลูกพืชแบบผสมผสานแทนการปลูกพืชเชิงเดียวอาจเป็นวิถีที่ยั่งยืนกว่าหรือไม่หากต้องเผชิญกับโรคระบาดอีกครั้งในอนาคต.

เอกสารเพิ่มเติม