อนาคตไม้ต้นเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจยั่งยืน

“การเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเป็นป่า คือการเปลี่ยนพื้นที่ 20% ของพื้นที่เกษตร 150 ล้านไร่ โดยการปลูกไม้มีค่า ทำให้ในอนาคตไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพืชเศรษฐกิจทั้ง 6 ชนิด เช่น ยาง มันสำปะหลัง อ้อย ฯลฯ ซึ่งในอนาคตอาจจะมีปัญหามาก การปลูกไม้มีค่าและผักยืนต้น สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศไทยได้ในอีก 30 ปี ข้างหน้า คิดเป็นมูลค่า 60 ล้านล้านบาท ขณะที่จีดีพีประเทศไทย ตอนนี้ 15 ล้านล้านบาท การปลูกไม้มีค่าจะสร้างมูลค่าให้ประเทศเพิ่มขึ้น 4 เท่า พืชหลัก 6 อย่างก็ยังทำอยู่ แต่ลดพื้นที่ลงและไปปลูกไม้มีค่าแทน และหากมีการลดพื้นที่ลงก็จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นเพราะผลิตน้อย ความต้องการมาก

ไม้ยืนต้นทุกชนิดผนวกกับเทคโนโลยีงานไม้ สามารถตอบคำถามการใช้ประโยชน์ไม้ได้เกือบทุกชนิด อาจจะไม่ต้องไปใช้ไม้มะค่าโมง หรือยางนาง เพราะต้นทุนอาจจะสูง อย่างเช่น ไม้สน เป็นไม้นำเข้า คุณสมบัติ สู้ไม้ในประเทศไทยไม่ได้แต่มีการผ่านกระบวนการแช่น้ำยา

ในอดีต จะมองว่าจะต้องใช้ไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่นไม้ยางนา ไม้ตะเคียนทอง ไม้สัก ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไป แนวคิดใหม่ คือ ปลูกต้นไม้มีค่าผสมด้วยผักยืนต้น ไม้ที่ใช้ในทางเศรษฐกิจ (commercial term) จะมีเฉพาะไม้ราคาแพง

ปกติต้นไม้จะมีเนื้อไม้โตประมาณปีละ 5%  มูลค่าไม้เพิ่มขึ้นปีละ 3% เมื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นปีละ 2%  แสดงว่าต้นไม้สามารถเอาชนะดอกเบี้ยได้ เอาชนะเงินเฟ้อต้นไม้เป็น positive income  ต้นไม้แพงกว่าทอง ข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าขณะที่เศรษฐกิจยุโรปติดลบ อเมริกาโต 3% แต่ธุรกิจไม้โตปีละ 15% โตกว่า 5 เท่า

ประเทศไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และความเสี่ยงจากการเป็นสังคมผู้สูงอายุ อีก 25 ปี ข้างหน้าจะให้ผู้สูงอายุทำอะไร ซึ่งสมาคมนักธุรกิจค้าไม้แห่งประเทศไทยต้องการสร้างอาชีพให้กับผู้สูงอายุด้วย ด้วยการให้ปลูกต้นกล้า จากงานวิจัยผู้สูงอายุปลูกกล้าไม้ได้ดีที่สุด

ปัจจุบันระบบ Bio-Economy ทำให้โลกเปลี่ยนจากโลกแบบ Petro-based Economy สู่ Bio Value Gen ผู้คนเริ่มไม่อยากใช้ถุงพลาสติก

จากภาพจะเห็นได้ว่า การเพิ่มขึ้นของประชากร (Population increase) อยู่ที่ 1.8 พันล้านคน (1.8 billion people = 9.2 – 7.4) เท่ากับมีการเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (CO2/person/year) 5 ตันต่อปี ในแง่นี้ จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านคน x การเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ตันต่อปี จึงเท่ากับว่าเราต้องมีพื้นที่ป่าไม้ หรือต้องปลูกป่าเพิ่ม 9 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือ 200 ล้านไร่ต่อปี จึงจะเพียงพอ ดังสมการด้านล่างนี้

9 Billion ton / Year 1.8 billion x 5 Ton = 9 Billion ton / Year

ระบบโซล่าเซล กับระบบการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งพืชทำได้ดีและยั่งยืนกว่า ขณะที่โซล่าเซลยังต้องมีการใช้แบตเตอรี่ และต้องการการกำจัดที่ไม่ก่อผลต่อสิ่งแวดล้อม

ขยะที่มากขึ้น จากภาพหากฝนตกลงมาก็จะทำให้ปนเปื้อนกับน้ำใต้ดิน ลงแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลงทะเล จากนั้นปลาก็ไปกินสารพิษ คนกินปลาหรือน้ำก็จะเกิดมะเร็ง จากนั้นจึงต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ไม่มีความยั่งยืน

สำหรับประเทศไทยผู้ผลิตพลาสติกไม่ต้องเสียค่ากำจัดพลาสติกจึงไม่มีต้นทุน แต่บางประเทศ เช่น สวีเดนต้องเสียค่ากำจัดพลาสติก

กรณีอุตสาหกรรมค้าไม้นั้น เสียค่า demand charge คือ ค่าไฟ เท่ากับอุตสาหกรรมอื่น แต่ที่จริงแล้วอุตสาหกรรมค้าไม้ใช้ไฟน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่นถึง 10 เท่า

ไม้ คือ อะไร ต้นไม้ดูดอาหารขึ้นมาที่ใบ มีคอโรฟิลด์สังเคราะห์แสง ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ 6 โมเลกุล และน้ำ 6 โมเลกุล เมื่อสังเคราะห์แสงก็จะได้เป็นน้ำตาล และคาย 6 ออกซิเจน 6 โมเลกุล เมื่อได้กลูโคสมารวมกันหลายพันธะก็จะได้เซลลูโรส จากนั้นก็จะกลับไปเป็นเนื้อไม้ ดังนั้นไม้ ก็คือ น้ำตาล

วัฏจักรความยั่งยืนของวงจรคาร์บอนจากไม้ในป่า เมื่อเราปลูกต้นไม้เราก็จะได้อาหารและยา ตอนที่ต้นไม้ยังไม่แก่มากจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เยอะ

แต่พอแก่จะดูดคาร์บอนได้น้อยลง ดังนั้นต้นไม้จึงนำไปเข้าโรงเลื่อย หรือสร้างบ้าน เพื่ออยู่สัก 50 ปี และเอาไม้จากบ้านเก่าไปไปดึงแอลกอออร์ น้ำมัน ทำยา ทำผ้า ทำไบโอพลาสติก นำไปย่อยทำกระดาษ แล้วจึงนำไปเผาเป็นพลังต่อไป สามารถจัดการ Cellulose ทั้งหมด เป็นการใช้อย่างคุ้มค่าแบบ Zero-waste

สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมป่าไม้ สกัดสาระสำคัญในเนื้อไม้ ใช้ในอุตสาหกรรมเคมี  ใช้เป็นส่วนต่างของสินค้าอุปโภค ทั้งหมดคือ value chain ของไม้ ซึ่งประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ ในแนวทางฐานเศรษฐกิจชีวภาพ

ไม้ทั่วโลกประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ Cellulose, Lignin, Hemicellulose, Extractive และ Ash ซึ่งที่ผ่านมา lignin จะมีปัญหาเพราะทำให้น้ำเสีย

ปัจจุบัน lignin นำไปใช้ในอุตสาหกรรมเคมี ทำพลาสติก ทำคาร์บอนไฟเบอร์ ทำ lignin oil ไม้ประกอบด้วย

สวีเดนแม้จะทำค้าไม้   โมเดลการใช้ประโยชน์จากป่าของสวีเดน (Sweden Model) การตัดไม้ของสวีเดนมีหลักฐานเพิ่มอย่างชัดเจน เปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่มีสภาพอากาศแบบ Tropical forest ไม้ที่ปลูกในประเทศไทยโตเร็วกว่าสวีเดน ซึ่งสวีเดนมีรอบอายุไม้ยาวนานถึง 75 ปี ในขณะที่เมืองไทยมีอายุ 30 ปี

ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับแล้วว่า ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด Green จึงมีความจำเป็นต้องสร้าง Supply Chain ทั้งระบบ โดยการสร้าง Building Code เพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ทั้งที่เป็นไม้โครงสร้างและไม้ประกอบ

จากภาพจะเห็นได้ว่า ปลูกตะเคียนทอง ได้ไร่ละ 2 ล้าน ต่อปี ต่อ 25 ต้น ใน 30 ปี

ต้องการอยู่หลังเกษียณ  20 ปี

ใช้เงินปีละ 1,000,000 x 20 ปี  = 20,000,000 ล้าน

ต้องปลูก 10 ไร่

ปีที่ 30  ตัดขาย 12 ต้น   แล้วปลูก ทดแทน 12 ต้น

ปีที่ 31  ตัดขาย 12 ต้น   แล้วปลูก ทดแทน 12 ต้น

ปีที่ 32  ตัดขาย 12 ต้น   แล้วปลูก ทดแทน 12 ต้น

ปีที่ 33 …………ต่อไปเรื่อยๆ  ตลาด ชั่วลูกชั่วหลาน

ในลักษณะเช่นนี้ นำไปสู่การเกิด “Passive income”

คุณคมวิทย์ บุญธำรงกิจ<br>ร<em>องนายกสมาคมนักธุรกิจค้าไม้แห่งประเทศไทย<em><br><em>งานโรงเรียนอธิปไตยทางอาหารหลักสูตรที่ 1 ปี 2562 63<em>

เรียบเรียงโดย ปิยาพร อรุณพงษ์ และ อังคณา ราชนิยม